บรู๊คลินน์ เน็ตส์ กับ สัญญาณที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง

ก่อนเปิดฤดูกาลนี้ บรู๊คลินน์ เน็ตส์ ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเต็งแชมป์ โดยมีการสำรวจกับบรรดาผู้บริหารของทีมในเอ็นบีเอแล้วพบว่า 71% ของกลุ่มคนที่สำรวจ บอกว่าเน็ตส์จะเป็นแชมป์ในฤดูกาลนี้ แต่กลับสร้างเซอร์ไพรส์ โดนกวาด 0 – 4 ตกรอบไปอย่างน่าเหลือเชื่อ

ซีซั่นนี้ เน็ตส์ เปิดมาด้วยปัญหาคายรี่ เออร์วิ่ง ไม่ยอมฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส โควิด 19 ทำให้ไม่สามารถลงสนามได้ในเกมเหย้า และทีมไม่ยอมให้เขาลงสนามช่วงต้นฤดูกาล ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงให้กลับมาลงสนามในเกมเยือนได้ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา

เมื่อไม่มีคายรี่ เออร์วิ่ง และ เจมส์ ฮาร์เด้น ไม่ได้ชู๊ตแม่น โชว์ฟอร์มระดับ MVP ก็ทำให้ เควิน ดูแรนท์ “แบกทีมหลังหัก” ฝืนเล่นจนได้รับบาดเจ็บช่วงออลสตาร์

ก่อนเปิดฤดูกาล เน็ตส์ ถือว่า เสริมทีมได้น่าสนใจ ทั้งการเซ็นสัญญากับ แพทตี้ มิลส์, พอล มิลแซปป์ และ ลามาร์คัส อัลดริดจ์ กลับมาช่วยทีมอีกครั้ง รวมถึง การได้โกรัน ดรากิช เข้ามาในช่วงกลางซีซั่น แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้ทีมแย่ลงถูกมองว่าเป็น “ผู้เล่นที่ย้ายออกไป” นั่นคือ เจฟฟ์ กรีน เนื่องจาก กรีนเป็นผู้เล่นตำแหน่งฟอร์เวิร์ดที่เล่นได้อย่างหลากหลาย รวมถึงเป็นเพื่อนสนิทกับเควิน ดูแรนท์ จึง ทำใจเล่นเข้าขากัน แล้วผู้เล่นที่เข้ามาแทนอย่าง เจมส์ จอห์นสัน หรือ ดิอันเดร เบมบรี้ เข้ามา ก็ไม่สามารถแทนได้

สิ่งที่ทีมยังตัดสินว่าผิดพลาด ยังคงเป็นเรื่อง “การเทรด” ต้องยอมรับว่า การเทรด เจมส์ ฮาร์เด้น ไปแลกกับ เบน ซิมมอนส์ ถือเป็นความคิดที่ผิดจริงๆ แม้จะได้ผู้เล่นอย่าง เซ็ธ เคอร์รี่ และ อันเดร ดรัมมอนด์ เข้ามาช่วยทีม แต่เบน ซิมม่อนส์ ซึ่งรับค่าเหนื่อยระดับ Max Contract กินเพดานค่าจ้างของทีมจนไม่สามารถหาผู้เล่นที่ดีเข้ามาเสริมได้ “โดยที่ซิมม่อนส์ไม่ได้ลงสนามช่วยทีมแม้แต่วินาทีเดียว”

แม้จะเสีย ไมค์ เจมส์ ไป แต่ บรู๊ซ บราวน์ ยังทำผลงานได้ดี และ ได้ลามาร์คัส อัลดริดจ์ ช่วยทีมได้บ้าง รวมถึง เบล็ค กริฟฟิน พอช่วยทีมได้บ้าง

ในช่วงฤดูกาลปกติ แฟนทีมเน็ตส์ จะได้เห็นเด็กดาวรุ่งโชว์ฟอร์มพอสมควร ทั้ง แคม โธมัส, เดย์รอน ชาร์ป, เคสเลอร์ เอ็ดเวิร์ดส์ และ เดวิด ดุ๊ค

ผ่านไปถึงช่วงกลางซีซั่น ความซวยมาเยือน เมื่อ “เทพโจ” โจ แฮร์ริส ได้รับบาดเจ็บจนต้องพักยาวทั้งซีซั่น ทำให้ทีมมีผู้เล่นที่พึ่งพาได้น้อยลงไปอีก

สิ่งที่ต้องมองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ “โค้ชสตีฟ แนช มือไม่ถึงหรือเปล่า” คำตอบคือ มีส่วน เมื่อมองว่า แนช ไม่กล้าเปลี่ยนแนวทางการเล่น ไม่ยอมส่งผู้เล่นอย่าง ลามาร์คัส อัลดริดจ์ รวมถึง แคม โธมัส ลงในเพลย์ออฟ และเหมือนส่งเบล็ค กริฟฟิน ลงสนามน้อยไป

แต่อีกส่วนคงต้องมองว่า “ผู้บริหารควรจะปรับแนวทางการทำทีมได้แล้ว” การสร้างซูเปอร์ทีม ใช้สตาร์ แบก ไม่ใช่แนวทางที่จะทำให้ทีมประสบความสำเร็จในยุคนี้

ยิ่งมอง ยิ่งรู้สึกว่า การเทรดเอาเจมส์ ฮาร์เด้นเข้ามา ซึ่งเสียทั้ง คาริส เลเวิร์ต และ จาร์เร็ต อัลเลน เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดจริงๆ เมื่อมองอนาคต ที่ทีมยังต้องเสียสิทธิ์ดราฟต์รอบแรกอีก 2 สิทธิ์ และสิทธิ์สลับอันดับดราฟต์อีก 4 ปี น่าจะยังมองว่าอาจส่งผลกระทบต่อทีมในระยะยาว

มีเครื่องหมายคำถามใหญ่ยิ่งกว่าขนาดของตัวผู้เล่น นั่นคือ “เบน ซิมม่อนส์ จะกลับมาลงสนามช่วยทีมได้ดีขนาดไหน” การที่เบน ซิมม่อนส์ นั่งใส่สร้อยทองอวดรวยอยู่ข้างสนามตลอดฤดูกาลนี้ ถือว่าล้มเหลวจริงๆ แล้วอนาคตจะเป็นยังไงต่อไป

ผ่านมา 3 ซีซั่น ที่ “คู่หู 7-11” คายรี่ เออร์วิ่ง กับ เควิน ดูแรนท์ ย้ายมาร่วมทีม ปรากฏว่า พวกเขายังไปไม่ถึงแม้แต่รอบชิงแชมป์สายตะวันออก แม้ในฤดูกาลแรก ทั้ง 2 คนจะพักยาว แล้วไม่นับก็ได้ แต่สิ่งที่ไม่มองไม่ได้คือ ทั้ง 2 คนตอนนี้ อายุ เกิน 30 แล้ว นั่นหมายความว่า สภาพร่างกายพวกเขา อาจไม่ได้พร้อมเหมือนในช่วง 4-5 ปีก่อน ซีซั่นหน้า รวมถึงซีซั่นต่อๆไป ทั้ง 2 คนอาจเริ่มมีผลงานแย่ลง ไม่สามารถทำผลงานได้แบบที่ พวกเราเห็นกันได้แล้ว

ถ้าทีมยังไม่มีการปรับ หาผู้เล่นอายุน้อยที่มีความสามารถ หรือไม่พยายามพัฒนาผู้เล่นอย่าง แคม โธมัส, เดย์รอน ชาร์ป และ เคสเลอร์ เอ็ดเวิร์ดส์ ให้ขึ้นมาเป็นตัวหลักได้ พวกเขาก็คงต้องพบกับการตกต่ำแบบที่พวกเขาได้แต่มองตาปริบ เห็นทีมอื่นใช้สิทธิ์ดราฟต์ของเน็ตส์ สร้างทีมขึ้นมา แบบที่ เคยได้แต่มอง บอสตัน เซลติกส์ ใช้สิทธิ์ดราฟต์ของเน็ตส์ สร้างทีมโดยเลือกเจย์เลน บราวน์ และ เจย์สัน เททั่ม มาเป็นตัวหลักแบบที่เห็นอยู่ในตอนนี้ แน่นอน