สั่งทำโทษให้ทำท่าสควอชจนตาย เหตุคนฝ่าฝืนกฎปิดเมืองช่วงโควิด-19

สั่งทำโทษให้ทำท่าสควอชจนตาย

สำนักข่าวต่างประเทศ บีบีซี รายงานว่า ชายชาวฟิลิปปินส์ที่พบว่าฝ่าฝืนกฎปิดเมือง เสียชีวิตหลังจากถูกตำรวจสั่งให้ทำท่าสควอช 300 ครั้ง เพื่อเป็นการลงโทษ ครอบครัวของเขากล่าว นี่ถือเป็นมาตรการโหดของฟิลิปปินส์ในการทำโทษผู้ที่ฝ่านฝืนกฎในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

Darren Manaog Penaredondo ถูกเรียกให้หยุดและสั่งทำโทษโดยเจ้าหน้าที่ ขณะที่กำลังซื้อน้ำหลังเวลา 18.00น. ตามเวลาท้องถิ่นในจังหวัด Cavite ในวันพฤหัสบดี (1 เมษายน) เขาอาการทรุดหนักลงในวันรุ่งขึ้นและเสียชีวิตในเวลาต่อมา จังหวัด Cavite บนเกาะลูซอนกำลังอยู่ภายใต้การปิดเมืองอย่างเข้มงวด เพื่อจัดการกับการแพร่ระบาดของโควิด-19

ลงโทษ

Marlo Solero หัวหน้าตำรวจของ General Trias City กล่าวว่าไม่มีการลงโทษทางกายภาพสำหรับผู้ที่พบว่าละเมิดกฎเคอร์ฟิว มีเพียงการตักเตือนจากเจ้าหน้าที่เท่านั้น เขาบอกกับสื่อท้องถิ่นว่าหากพบว่าเจ้าหน้าที่มีการบังคับใช้บทลงโทษดังกล่าว จะถือว่าเป็นบทลงโทษที่ไม่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงาน



Adrian Lucena ญาติของเหยื่อประกาศการเสียชีวิตของเขาบนเฟซบุ๊ก เขากล่าวว่านาย Penaredondo และคนอื่น ๆ ที่พบว่าละเมิดเคอร์ฟิว ได้รับคำสั่งให้ทำท่าสควอช 100 ครั้งพร้อมกัน หากพวกเขาล้มเหลวในการทำท่าสควอชให้พร้อมเพรียงกัน พวกเขาจะต้องทำซ้ำอีก 1 ชุด (100 ครั้ง) เขากล่าว ผู้ฝ่าฝืนกฎทั้งกลุ่มลงเอยด้วยการต้องทำท่าสควอชถึง 300 ครั้ง

สควอช

นาย Penaredondo กลับมาบ้านเมื่อเวลา 06.00 น. ในเช้าวันศุกร์ (2 เมษายน) ด้วยความเจ็บปวดไปทั้งร่างกายพี่ชายของเขากล่าว แฟนที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกับเขาบอกกับสำนักข่าวท้องถิ่น Rappler ว่า เขาเคลื่อนไหวตัวลำบากตลอดวันศุกร์ “วันนั้นทั้งวันเขาพยายามเดิน แต่เขาทำได้แค่คลาน แต่ฉันไม่ได้คิดว่ามันร้ายแรง เพราะเขาบอกว่ามันเป็นแค่อาการปวดเมื่อยตามร่างกายเท่านั้น” Reichelyn Balce กล่าว วันต่อมาอาการของเขาทรุดลงและหยุดหายใจ Balce ขอให้เพื่อนบ้านช่วยชีวิตเขา แต่มีรายงานว่าเขาเสียชีวิตไม่นานหลังจากนั้น Ony Ferrer นายกเทศมนตรีเมือง General Trias กล่าวว่าเขาได้สั่งให้หัวหน้าตำรวจทำการสอบสวนอย่างละเอียด เขาอธิบายการลงโทษนี่ว่าเป็นทรมานร่างกาย นาย Ferrer กล่าวเพิ่มเติมว่าเขาได้ติดต่อกับครอบครัวของนาย Penaredondo แล้ว

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาองค์กรสิทธิมนุษยชน (Human Rights Watch) ได้ออกมาเตือนว่าผู้ฝ่าฝืนกฎในฟิลิปปินส์กำลังถูกทารุณกรรม ทางการฟิลิปปินส์ควรเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ที่ถูกควบคุมตัว เนื่องจากละเมิดกฎข้อบังคับเกี่ยวกับโควิด-19 ของรัฐบาล ตำรวจและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ได้กักขังผู้ที่ถูกจับในกรงสุนัข และบังคับให้พวกเขานั่งกลางแดดตอนกลางวันเพื่อเป็นการลงโทษ รวมถึงการทารุณกรรมอื่น ๆ รายงานการล่วงละเมิดสทธิต่อผู้ถูกควบคุมตัวควรได้รับการสอบสวนโดยทันที และผู้ที่รับผิดชอบควรได้รับการลงโทษทางวินัยหรือดำเนินคดีอย่างเหมาะสม

“ตำรวจและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ควรเคารพสิทธิของผู้ที่พวกเขาจับกุม เนื่องจากละเมิดเคอร์ฟิวและกฎระเบียบด้านสาธารณสุขอื่น ๆ ซึ่งสามารถทำได้ ในขณะรัฐบาลฟิลิปปินส์ยังคงสามารถใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อต่อสู้กับโควิด -19” Phil Robertson รองผู้อำนวยการ Human Rights Watch เอเชียกล่าว “การกระทำที่ไม่เหมาะสมใด ๆ ควรได้รับการตรวจสอบทันที และหน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องรับผิดชอบ”

นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต (Rodrigo Duterte) สั่งปิดเกาะลูซอนหลักของฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2020 ตำรวจได้จับกุมผู้คนหลายร้อยคนในเมืองหลวงมะนิลาและส่วนอื่น ๆ ของประเทศ การจับกุมส่วนใหญ่เป็นการละเมิดเคอร์ฟิว แต่บางส่วนเป็นการละเมิด “กฎการเว้นระยะห่างทางสังคม” และกฎระเบียบการกักกัน เมืองและจังหวัดอื่น ๆ บังคับใช้กฎการปิดเมืองของตนเอง ตามมาตรการของดูเตอร์เตทำให้ปิดประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในเมืองซานตาครูซ ในจังหวัดลากูน่า ทางตอนใต้ของกรุงมะนิลา ยอมรับว่าขังเยาวชน 5 คนไว้ในกรงสุนัขเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2020 เจ้าหน้าที่พยายามหาเหตุผลให้การกระทำของพวกเขา โดยกล่าวว่าเยาวชนละเมิดเคอร์ฟิวและพูดจาก้าวร้าว และกล่าวว่าพวกเขาไล่ต้อนทำร้ายสุนัขจรจัดในคืนนั้นด้วย เจ้าหน้าที่บังคับให้ผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวในเมืองปารานาคิว ซึ่งเป็นเมืองในมะนิลาให้นั่งกลางแดดตอนเที่ยงหลังการจับกุม เจ้าหน้าที่อ้างว่าให้พวกเขานั่งที่นั่นเพียงชั่วคราวเพราะไม่มีที่ให้กักขัง ในจังหวัด Bulacan ทางเหนือของกรุงมะนิลาตำรวจสังหารชายคนหนึ่ง หลังจากที่เขาถูกกล่าวหาว่าหลีกเลี่ยงจุดตรวจ ตำรวจอ้างว่าชายคนดังกล่าวได้ยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไล่ตาม

กระทรวงยุติธรรมระบุว่าเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้คนได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ต่อต้านก็ตาม การดำเนินการของตำรวจเพื่อปฏิบัติตามกฎเคอร์ฟิวและข้อจำกัดอื่น ๆ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติตอบว่าการละเมิดกฎไม่ควรถูกจับกุม และเสริมว่าการจับกุมดังกล่าวอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนเพิ่มได้

รัฐบาลฟิลิปปินส์ควรดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการลงโทษที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกต่อไป
การจับกุมผู้คนในข้อหาละเมิดเคอร์ฟิว นั่นส่งผลให้เกิดการผิดมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 มากขึ้น หากตำรวจวางผู้คุมไว้ในสถานกักกันที่แออัด ซึ่งไวรัสสามารถแพร่ระบาดได้ง่าย ตัวอย่างเช่น สำนักข่าวของรัฐบาลรายงานว่าตำรวจในเมืองบาโคลอดบนเกาะ Negros ได้จับกุมบุคคล 728 คน ในข้อหาละเมิดเคอร์ฟิวระหว่างวันที่ 15-21 มีนาคม และกักขังพวกเขาไว้ค้างคืนในสถานกักขังของตำรวจก่อนที่จะปล่อยตัวในวันรุ่งขึ้น

น่าเศร้าที่แม้องค์กรสิทธิมนุษยชน (Human Rights Watch) จะเผยแพร่เอกสารเมื่อวันที่ 19 มีนาคมปีที่แล้ว เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบให้แน่ใจว่าการกักกัน การล็อคดาวน์และการห้ามเดินทางรวมถึงเคอร์ฟิว เป็นไปตามบรรทัดฐานด้านสิทธิมนุษยชน แต่ก็ยังคงเกิดเหตุการณ์สุดสลดเช่นนี้เกิดขึ้ นอกจากนี้ในระหว่างการปราศรัยทางโทรทัศน์เมื่อวันพฤหัสบดี (1 เมษายน) ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต เตือนประชาชนอย่าฝ่าฝืนกฎการล็อกดาวน์ โดยกล่าวว่า “ฉันจะไม่ลังเลคำสั่งของฉันส่งถึงตำรวจและทหารตลอดจนเจ้าหน้าที่ในหมู่บ้าน หากมีปัญหาหรือในโอกาสใด ๆ ที่มีความรุนแรงและชีวิตของคุณตกอยู่ในอันตราย ยิงพวกเขา (ประชาชน) ให้ตาย”

ปัจจุบันสถานการณ์โควิดของประเทศฟิลิปปินส์ 795,000 ราย และเสียชีวิตแล้วกว่า 13,425 ราย แต่การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศยังคงดำเนินการไปอย่างล่าช้า เพราะหลายคนยังคงนึกถึงความน่ากลัวเกี่ยวกับวัคซีน Dengvaxia ซึ่งเปิดตัวในปี 2559 เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก ซึ่ง 2 ปีต่อมาก็ถูกระงับใช้ทันที เนื่องจากกลัวผลข้างเคียงเมื่อเด็กบางคนที่ได้รับมันเสียชีวิต ทำใช้ชาวฟิลิปปินส์หลายคนกลัวที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 การสำรวจล่าสุดชี้ให้เห็นว่ามีชาวฟิลิปปินส์เพียง 19% หรือผู้ใหญ่ 1 ใน 5 คนเท่านั้น ที่เต็มใจที่จะฉีดวัคซีน นอกจากนั้นวัคซีนจำนวนมากยังเดินทางไม่มาถึงในประเทศอีกด้วย